วันจันทร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สงครามเย็น

สงครามเย็น





1 ความหมายของสงครามเย็น 
สงครามเย็นคือลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ช่วง ค.ศ.1945-1991 ที่ กลุ่มประเทศโลกเสรีและกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ ต่างพยายามต่อสู้โดยวิธีการต่างๆ ยกเว้นการทำสงครามกันโดยเปิดเผย เพื่อขัดขวางการขยายอำนาจของกันและกันสงครามเย็นมีผลสืบเนื่องมาจากสภาพบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ ทั้งประเทศผู้ชนะและแพ้สงคราม ได้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน ทวีปยุโรปซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจโลกอยู่ในสภาพทรุด โทรมอย่างยิ่ง ต้องสูญเสียอำนาจและอิทธิพลในสังคมโลกให้กับสหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นสองประเทศที่มีฐานะเศรษฐกิจมั่นคงจนเป็นหลักในการบูรณะฟื้นฟูประเทศ อื่นๆ สหรัฐอเมริกาก้าวสู่ความเป็นผู้นำของโลกเสรีประชาธิปไตย ในขณะที่สหภาพโซเวียตมีอำนาจและอิทธิพลเนื่องมาจากความสำเร็จในการขยายลัทธิ คอมมิวนิสต์สู่กลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก อยู่ในฐานะประเทศผู้นำของโลกคอมมิวนิสต์ คำว่า อภิมหาอำนาจ จึงหมายถึง ความเป็นผู้นำโลกของประเทศทั้งสอง ซึ่งแข่งขันกันขยายอำนาจและอิทธิพล จนทำให้ความสัมพันธ์ที่มีต่อกันเกิดความตึงเครียดสูงสาเหตุ ของสงครามเย็นเกิดจากการแข่งขันกันของประเทศอภิมหาอำนาจจากประเสบการณ์ที่ ผ่านมาในสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียหายน้อยกว่าประเทศคู่สงครามในยุโรป ทั้งยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูง และเป็นประเทศแรกที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นตำรวจโลกเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยและเสรีภาพ ส่วนสหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่าง รวดเร็ว เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น ดังนั้น ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย ตรงข้าม 


2 สาเหตุของสงครามเย็น 
   สาเหตุ ของสงครามเย็นเกิดจากการแข่งขันกันของประเทศอภิมหาอำนาจจากประเสบการณ์ที่ ผ่านมาในสงครามโลกทั้งสองครั้ง ทำให้สหรัฐอเมริกาเสียหายน้อยกว่าประเทศคู่สงครามในยุโรป ทั้งยังเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีสูง และเป็นประเทศแรกที่สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความรู้สึกว่าตนเป็นตำรวจโลกเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งวิถีทางประชาธิปไตยและ เสรีภาพ ส่วนสหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น ดังนั้น ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย ตรงข้าม                

    
 3   ความขัดแย้งของมหาชาติอำนาจในยุคสงครามเย็น         
           ส่วน สหภาพโซเวียตฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่ 2 อย่างรวดเร็ว เพราะพื้นที่กว้างใหญ่ มีทรัพยากรธรรมชาติมาก สามารถผลิตอาวุธนิวเคลียร์ได้สำเร็จ สหภาพโซเวียตต้องการเป็นผู้นำในการปฏิวัติโลกเพื่อสถาปนาระบบสังคมนิยม คอมมิวนิสต์ตามแนวคิดของมาร์กซ์ขึ้น ดังนั้น ทั้งสองอภิมหาอำนาจจึงใช้ความช่วยเหลือที่ให้แก่ประเทศต่างๆ เป็นเครื่องมือในการขยายอิทธิพล อำนาจ และอุดมการณ์ของตน เพื่อหาประเทศที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกันมาเป็นเครื่องถ่วงดุลอำนาจกับฝ่าย ตรงข้ามการแข่งขันเพื่อความเป็นใหญ่ในยุคสงครามเย็นนั้นมีหลายรูปแบบ ทั้งสองฝ่ายต่างพยายามโฆษณาชวนเชื่อให้เห็นความสำเร็จของอุดมการณ์ทางการ เมืองของฝ่ายตน ฝ่ายเสรีประชาธิปไตยเน้นเรื่องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ในขณะที่ฝ่ายคอมมิวนิสต์ชี้ความเสมอภาคของประชาชน เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อของแต่ละฝ่ายคือ สำนักงานข่าวสารเผยแพร่ข่าวสาร สำนักงานวัฒนธรรม โครงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษา บางครั้งใช้วิธีการทางการเมืองและการฑูตเพื่อแสวงหาพันธมิตรในการเมืองระดับ ประเทศ หรือใช้วิธีการเศรษฐกิจแก่ประเทศพันธมิตรในรูปของเงินช่วยเหลือเงินกู้ระยะ ยาว เงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ในทางตรงกันข้าม อาจใช้มาตรการทางเศรษฐกิจตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม เช่น การงดความสัมพันธ์ทางการค้า กับบางประเทศ นอกจากนั้นวิธีการทางทหารนับว่าเป็นวิธีการที่ใช้มากที่สุด มีการสะสมกำลังอาวุธ การให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศพันธมิตรด้านกำลังทหาร กำลังอาวุธ จัดส่งเจ้าหน้าที่หรือผู้เชี่ยวชาญทางการทหาร ตลอดจนการส่งกองกำลังของตนเข้าไปตั้งมั่นในประเทศพันธมิตร จนในที่สุดก็ได้ตั้งองค์การป้องกันร่วมกันในภูมิภาคต่างๆ เช่น องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (Nato) องค์การสนธิสัญญาเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (Seato) และกลุ่มกติกาสนธิสัญญวอร์ซอ (Warsaw Pact) วิธีการเผยแพร่อิทธิพลวิธีสุดท้าย คือ วิธีการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้แก่ ความพยายามแสดงออกถึงความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น การคิดค้นอาวุธ สิ่งประดิษฐ์ต่างๆ รวมทั้งโครงการสำรวจอวกาศเพื่อสร้างความศรัทธาแก่ประเทศพันธมิตรและสร้าง ความยำเกรงแก่ประเทศฝ่ายตรงข้าม           หลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดการเผชิญหน้าของสองอภิมหาอำนาจในภูมิภาคต่างๆ เริ่มต้นจากปัญหาความมั่นคงในยุโรป สหภาพโซเวียตขยายอิทธิพลเข้าไปในยุโรปในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 จนกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกกลายเป็นกลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์           สหรัฐอเมริกาดำเนินนโยบายสกัดกั้นลัทธิคอมมิวนิสต์ด้วยการประกาศหลักการทรู แมน ในเดือน มีนาคม ค.ศ.1947 ซึ่งมีสาระสำคัญว่าสหรัฐอเมริกาจะได้ความช่วยเหลือแก่ประเทศต่างๆ เพื่อธำรงไว้ซึ่งเอกราชและอธิปไตยให้พ้นจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์ ทั้งภายนอกและภายในประเทศ รัฐสภาอนุมัติเงินและให้ความช่วยเหลือตุรกีและกรีกให้รอดพ้นจากเงื้อมมือ ลัทธิคอมมิวนิสต์ ในปีเดียวกันสหภาพโซเวียตได้ตั้งสำนักงานข่าวคอมมิวนิสต์ (Cominform) ขึ้นที่กรุงเบลเกรด ทำหน้าที่เผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์และเป็นเครื่องมือของสหภาพโซเวียต เพื่อป้องกันมิให้โลกเสรีเข้าแทรกแซงในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก เป็นการตอบโต้หลักการทรูแมน การประกาศหลักการทรูแมนของสหรัฐอเมริกาถือว่าเป็นการเริ่มต้นอย่างแท้จริง ของสงครามเย็นระหว่างสองอภิมหาอำนาจ           สหรัฐอเมริกาพยายามกอบกู้และฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปเป็นเป้าหมายต่อไปโดยการ เสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ทุกประเทศในยุโรป ตามแผนการณ์มาร์แชล ซึ่งแผนการนี้มีระยะเวลา 4 ปี ด้วยงบประมาณ 13,500 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาในรูปของเงินทุน วัตถุดิบ อาหารและเครื่องจักรกล ส่วนประเทศในยุโรปตะวันออกถูกสหภาพโซเวียตกดดันให้ปฏิเสธข้อเสนอของอเมริกา โดยสหภาพโซเวียตและกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออกได้ร่วมมือกันจัดตั้งสภาความ ช่วยเหลือซึ่งกันและกันทางเศรษฐกิจหรือโคมีคอน (Comecon)ด้วยเหตุนี้ การฟื้นฟูเศรษฐกิจของยุโรปจึงแยกเป็น 2 แนวทางตั้งแต่นั้นมา           นอกจากนี้สหรัฐอเมริกายังสนับสนุนอย่างเต็มที่ด้านการเมืองการทหารแก่กลุ่ม ประเทศยุโรปตะวันตก ในค.ศ.1949 สหรัฐอเมริกาและแคนาดาร่วมกับกลุ่มประเทศยุโรปตะวันตก 10 ประเทศ จัดตั้งองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือหรือนาโต ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิกทั้งด้านการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ซึ่งการตั้งนาโตถือว่าเป็นจุดสำคัญของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในการ ต่อต้านอิทธิพลของสหภาพโซเวียต โดยใช้ความร่วมมือทางทหารของกลุ่มประเทศโลกเสรี กฏบัตรขององค์การนาโต กำหนดไว้ว่า หากยุโรปตะวันตกถูกรุกราน สหรัฐอเมริกาจะเข้าร่วมสงครามโดยทันทีตามหลักการป้องกันตนเอง ส่วนสหภาพโซเวียตก็จำเป็นต้องมีกองทหารไว้ควบคุมเขตอิทธิพลของตน จึงมีการประชุมเพื่อดำเนินการจัดตั้งระบบพันธมิตรทางทหารของกลุ่มประเทศ ยุโรปตะวันออกขึ้นที่กรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ ก่อให้เกิดกลุ่มกติกาสนธิสัญญาวอร์ซอ ทำให้สหภาพโซเวียตสามารถมีกองกำลังของตนไว้ในประเทศสมาชิกได้    



4 ความขัดแย้งและสงครามเย็นตัวแทนในภูมิภาคเอเชีย    
ใน ตะวันออกลาง หรือเอเซียตะวันตกเฉียงใต้ เป็นภูมิภาคที่มีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับด้วยกันเอง และระหว่างกลุ่มประเทศอาหรับกับประเทศอิสราเอล สหภาพโซเวียตฉวยโอกาสขยายอิทธิพลของตนด้วยวิธีารต่างๆ เช่น เสนอให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารแก่ประเทศอิยิปต์ ในการปฏิรูปประเทศในสมัยประธานาธิบดีนัสเซอร์ด้วยการให้เงินสร้างเขื่อนอัส วาน อืยิปต์เป็นผู้นำของกลุ่มประเทศอาหรับที่สหภาพโซเวียตต้องการส่งเสริม อิทธิพลของลัทธิคอมมิวนิสต์ให้แพร่หลายในภูมิภาคตะวันออกลาง ฝ่ายโลกเสรีจึงหาทางสกัดกั้นด้วยการจัดตั้งองค์การสนธิสัญญาเซ็นโต หรือองค์การสนธิสัญญากลาง (Central Treaty Organization:CENTO) ซึ่ง มีสมาชิก 5 ประเทศ คือ สหราชอาณาจักร ตุรกี อิรัก อิหร่าน และปากีสถาน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการแทรกแซงและขยายอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ใน ภูมิภาคนี้ ส่วน ในทวีปแอฟริกา หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศต่างๆ ได้รับเอกราช โดยส่วนใหญ่ยังไม่พร้อมที่จะปกครองตนเอง เช่น คองโก จึงเกิดการจลาจลแย่งอำนาจระหว่างชนเผ่าต่างๆ คณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติเกรงว่าความวุ่นวายนี้จะเป็นภัยต่อ สันติภาพของโลก จึงมีมติให้ส่งกองกำลังของสหประชาชาติเข้าไปรักษาความสงบเรียบร้อยในคองโก สหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีนให้ความช่วยเหลือแก่ประธานาธิบดีลูมุมบา ของคองโก และนายครุฟเซฟผู้นำสหภาพโซเวียตประนามการแทรกแซงสหประชาชาติ ส่วนสาธารณรัฐประชาชนจีนได้ขยายอิทธิพลเข้าไปในแทนซาเนียด้วยการช่วยเหลือใน การสร้างทางรถไฟยาว 1,000 ไมล์ ในขณะที่สหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสได้พยายามรักษาอิทธิพลในแอฟริกาอาณานิคมของตน   


  
5 การสิ้นสุดสงครามเย็น 
สิ้นสุดของทศวรรษ 1980 เป็นการสิ้นสุดของยุคสมัยแห่ง “สงครามเย็น” ซึ่งดำเนินมาเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2
เหตุการณ์สำคัญที่ทำให้การขัดแย้งทางอุดมการณ์และการแข่งขันกันเป็น ผู้นำของโลก ระหว่างสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตสิ้นสุดลง สืบเนื่อง มาจากการล่มสลายของระบบ การปกครองคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก และความเปลี่ยนแปลงในสหภาพโซเวียต อันเป็นผลมาจากนโยบาย ปฏิรูปเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งนายมิคาอิล กอร์บาชอฟ เห็นว่าเป็นความ จำเป็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับเปลี่ยนนโยบายดังกล่าวทำให้เกิด ความไม่พอใจในกลุ่มผู้นำคอมมิวนิสต์หัวเก่าและนำไปสู่การปฏิวัติที่ล้มเหลว การหมดอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์ ประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต ในยุโรปตะวันออก ต่างแยกตัวเป็นอิสระและท้ายที่สุดรัฐต่างๆ ในสหภาพ โซเวียต ต่างแยกตัวเป็นประเทศอิสระปกครองตนเอง มีผลทำให้ สหภาพโซเวียต ล่มสลายลงในปี ค.ศ. 1991 จากการล่มสลายของระบบคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ส่งผลให้มีการ สลายตัวของ “กลุ่มโซเวียต” และ“องค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ” รวม ทั้ง องค์การโคมีคอน ซึ่งเป็นองค์การร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ สังคมนิยม ปรากฏการณ์นี้จึงทำให้การเผชิญหน้าระหว่าง ประเทศมหา อำนาจตะวันออก–ตะวันตกได้สลายตัวลงด้วย เหตุการณ์ที่เป็นนับว่าเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดของ “สงครามเย็น”
คือ การทำลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี ค.ศ. 1989 และการรวมประเทศ เยอรมนีทั้งสองเข้าเป็นประเทศเดียวกัน ในปี ค.ศ. 1990 การที่ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลดหย่อนท่าที และเงื่อนไขของฝ่ายรัสเซีย ยอมให้ ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นจุดสำคัญของความขัดแย้งในยุโรป กลับมารวมกัน ได้ย่อมแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจและมีไมตรีต่อกันที่กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง



"เรื่องราวน่าประทับใจ" ในช่วง "สงคราม"

สงครามเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เป็นแต่ในเรื่องราวของสงครามนั้น ก็ยังมีเรื่องราวน่าประทับใจที่น่าจดจำอยู่บ้างเหมือนกัน

เครื่องบินปล่อยขนม

Two C-74s
ที่มาภาพ old-bold-pilot
ในช่วงปี ค.ศ.1948 เป็นช่วงที่ใครอยู่ในประเทศเยอรมันออกจะโชคร้ายกว่าใคร หลังจากที่ประเทศถูกแบ่งแยกท่ามกลางผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศรัสเซียเองก็ตัดสินใจที่จะตัดช่องทางการคมนาคมทางรถไฟที่ตรงไปยังกรุงเบอร์ลินทั้งหมด ด้วยความหวังว่าจะเกิดการขาดแคลนอาหารในเบอร์ลิน
ในตอนนั้นเอง ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตรอื่นๆ ก็พบว่า พวกเขาสามารถใช้เครื่องบินช่วยขนส่งอาหารได้ จึงได้มีการเริ่มปฎิบัติการที่เรียกว่า “The Berlin Airlift” ซึ่งเครื่องบินรบแทนที่จะปล่อยลูกระเบิด ก็ทำการปล่อยอาหารลงไปยังกรุงเบอร์ลินแทน ถึงตอนนี้ คนในเบอร์ลินก็รอดจากการอดตายแล้ว แต่ยังมีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ขาดไป นั่นคือ ขนมหวานสำหรับเด็กๆ
Gail Halvorsen นักบินจากรัฐยูทาห์ รู้สึกสะเทือนใจกับภาพของเด็กๆ ในเหล่ากรุงเบอร์ลินที่ไม่มีขนมหวานไว้กิน เขาจึงยกหมากฝรั่งให้เด็กเหล่านั้นพร้อมกันสัญญาว่า เขาจะกลับมาวันพรุ่งนี้พร้อมกับขนมอีกจำนวนมากมาย หลังจากนั้น Halvorsen ได้ทำการปล่อยช็อคโกแล็ตลงมากับร่มชูชีพอันเล็กๆ ลงมาให้เด็กๆ นอกจากนั้น เขายังขยับปีกเครื่องบินไปมาเพื่อเป็นสัญญาณให้เด็กๆ จำเครื่องบินของเขาได้และเตรียมพร้อมรับฝนช็อคโกแล็ต ทำให้เขาได้รับฉายา “คุณลุงขยับปืก” (Uncle Wiggly Wings) ไปด้วย
Candy Bomber Bk
ที่มาภาพ old-bold-pilot

อย่างไรก็ตาม การกระทำแบบนี้ของ Halvorsen ถือว่าผิดกฎ และเขาก็ถูกบังคับให้เลิกทำเสีย จนกระทั่งเจ้านายของเขาได้รู้ว่าชาวเยอรมันชอบพวกอเมริกามากขึ้นแค่ไหนจากเหตุการณ์นี้ จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มกองกำลังเครื่องบินที่มีหน้าที่ส่งของหวานจำนวนมากไปให้แก่ชาวเมือง
ถึงแม้ว่าปฎิบัติการนี้จะจบลงในปี ค.ศ.1949 หลังจากที่สหภาพโซเวียตยอมแพ้ เด็กๆ ชาวกรุงเบอร์ลินก็ไม่เคยลืมเรื่องของคุณลุงขยับปีก และชื่อของ Gail Halvorsen ก็ยังเป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศเยอรมันในฐานะชายที่ให้ขนมแก่เด็กๆ ถึงขนาดมีโรงเรียนบางแห่งถูกตั้งชื่อขึ้นตามเขาด้วยซ้ำ

George Washington คืนสุนัขให้นายพลแห่งกองทัพอังกฤษ

WashingtonFIwar
ที่มาภาพ wikimedia
ถ้า George Washington ประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐจะมีศัตรูคู่แค้นสักคน คนๆ นั้นก็คือ William Howe นายพลแห่งกองทัพอังกฤษ ในช่วงสงครามปฎิวัติ กองทัพของ Howe ชนะกองทัพของ Washington หลายครั้งหลายหน จนทำให้ท่านประธานาธิบดีต้องถอยร่นไปเรื่อยๆ
ในเดือนตุลาคม ปีค.ศ.1777 Washington และ Howe พบกันอีกครั้งที่ Germantown รัฐ Pennsylvania ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือดแต่ก็เป็นฝ่ายของ Howe ที่เอาชนะไปได้ โดยฆ่าทหารของฝ่ายอเมริกาไปกว่า 100 คนและจับเป็นนักโทษไว้อีกกว่า 400 คน อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะสูญเสียไปมาก ฝ่ายอเมริกาก็จับตัวประกันไว้ได้ นั่นคือ สุนัขพันธุ์เทอร์เรียของนายพล Howe ซึ่งหนีออกมาระหว่างการต่อสู้แล้วมาลงเอยอยู่ที่อีกฝั่ง
washdog
ที่มาภาพ sesquicentenary

เป็นเวลา 2 วันที่นายพลเฝ้าเป็นห่วงว่า พวกอเมริกันที่โหดร้ายจะทำอะไรกับสุนัขของเขาบ้าง แต่หลังจากนั้น 2 วัน เจ้าสุนัขก็วิ่งออกมาจากป่าแล้วกลับไปหา Howe โดยสวัสดิภาพ พร้อมกับข้อความผูกติดมาด้วยว่า “ของขวัญจากนายพล Washington ให้นายพล Howe เขาขอคืนสุนัขตัวนี้ที่บังเอิญมาอยู่ในมือเขาให้ด้วยความยินดี ตามที่ปลอกคอของมันระบุไว้ว่ามันเป็นสุนัขขอองนายพล Howe”
เรื่องของเรื่องก็คือ Washington เป็นคนที่รักสุนัขมาก และถึงแม้ Howe จะฆ่านายทหารของเขาไปหลายร้อยคน เขาก็ไม่สามารถทำใจร้ายเอาเปรียบในสถานะการณ์แบบนี้ได้ เขาถึงกับสั่งให้หยุดยิงเพื่อให้สุนัขวิ่งผ่านไปได้ และนี่คือช่วงเวลาน่าประทับใจระหว่างคนและเพื่อนที่ดีที่สุดของมนุษย์ ส่วนหลังจากนั้นนายพลทั้งสองก็กลับไปสู้รบกับต่ออยู่ดี

สุนัขอังกฤษได้รับยศเป็นนาวิกโยธิน

smst_jn_005
ที่มาภาพ simonstown
Just Nuisance (แปลว่าเจ้าตัวน่ารำคาญ) เป็นสุนัขพันธุ์เกรทเดนอาศัยอยู่ที่ฐานทัพกองทัพเรือที่ประเทศแอฟริกาใต้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 มันได้ชื่อแบบนี้มาเพราะมันมีนิสัยชอบนอนขวางทางเดินแคบๆ บนสะพานที่เชื่อมจากท่าเรือไปยังบนเรือ และด้วยตัวขนาดสูงใหญ่ถึง 6 ฟุต 6 นิ้ว ทำให้ไม่ง่ายเลยที่จะทำเป็นมองไม่เห็นมัน
อย่างไรก็ตาม เหล่าทหารเรือก็รักเจ้า Nuisance และยอมให้มันตามจากฐานทัพไปยังสถานีรถไฟแถวในท้องที่ บางครั้งเจ้า Nuisance ก็จะนำทางทหารเรือกลับไปยังฐานทัพเมื่อพวกเขาออกไปดื่มกันหนักเกินไปหน่อย หรือเข้าไปช่วยห้ามเมื่อทหารเรือมีเรื่องชกต่อยกันเอง ปัญหาก็คือ พนักงานรถไฟที่ทำงานอยู่ในท้องที่ไม่ค่อยชอบเจ้า Nuisance มากเท่าไหร่นัก และทหารเรือก็มักชอบแอบเอามันขึ้นรถไฟด้วยเสมอๆ
smst_jn_003
ที่มาภาพ simonstown
แทนที่จะให้จ่ายค่าเดินทางสำหรับสุนัขเพื่อที่มันจะได้เดินทางอย่างถูกต้อง พนักงานรถไฟตัดสินใจว่า เจ้าสุนัขตัวเกือบเท่าลูกม้านี้จะต้องห้ามขึ้นรถไฟโดยเด็ดขาด ถึงกับตั้งกฏว่าถ้าเห็นเจ้า Nuisance บนรถไฟ จะต้องพามันลงโดยทันที
แต่ทางกองทัพเรือก็มีทางแก้ โดยการลงทะเบียนเจ้า Nuisance เป็นสมาชิกกองทัพเรือเหมือนกับเป็นคนๆ หนึ่งเสียเลย ซึ่งหมายความว่า ไม่ใช่แค่พนักงานรถไฟจะทำอะไรสุนัขตัวนี้ไม่ได้ แต่เจ้าหมา(ไม่)น้อยตัวนี้จะได้รับสิทธิ์ให้นั่งรถไฟได้ฟรีอีกด้วย มีกระทั่งลายเซ็นของเจ้า Nuisance ยืนยันด้วยตัวตน (ลายฝ่าเท้า) มันต้องผ่านการตรวจร่างกายตามขั้นตอน และได้ที่นอนใหม่เป็นเตียงสำหรับทหารเรือ ต่อมามันก็ได้ทำหน้าที่เป็นนาวิกโยธินเต็มตัว และได้รับการฝังศพแบบทหารคนหนึ่งอีกด้วย
4453381713_f3861a7245_z
ที่มาภาพ flickr

กองทัพเรือแต่งตั้งกองทัพไอศกรีม

scoops_of_ice_cream-2229
ที่มาภาพ free-extras
ในปี ค.ศ.1945 กองทัพเรืองของประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประจำการอยู่ที่มหาสมุทรแปซิฟิกใต้พบกับปัญหา 3 อย่าง อากาศร้อน กำลังใจหดหาย และกองทัพญี่ปุ่นที่ตามจ้องฆ่าอยู่ทั้งวันทุกวัน นั่นเองเป็นตอนที่ James Forrestal เลขานุการแห่งกองทัพเรือได้คิดทางแก้ขึ้นมา นั่นคือ แจกไอศกรีมฟรี
imagesJames Forrestal
ที่มาภาพ educatinghumanity
Forrestal รู้ดีว่าของหวานนี้สำคัญขนาดไหน เขาจริงจังกับเรื่องนี้มากขนาดถึงพูดไว้ว่า “ในความคิดของผมแล้ว ไอศกรีมเป็นสิ่งให้ขวัญกำลังใจที่สำคัญที่สุดที่ถูกละเลยไป” (รวมถึงปัจจัยอื่นๆ นั่นคือเหล้าและหนังสือโป๊ แต่เขาไม่ได้พูดถึง) ไอศกรีมนี้สำคัญมากขนาดนี้ Forrestal สามารถโน้มน้าวใจให้รัฐบาลให้งบถึง 1 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ สำหรับไอศกรีมอย่างเดียว
76284aa2ef8b13d6_landing
ที่มาภาพ LIFE
กองทัพเรือได้ออกแบบเรือบรรทุกให้เป็นเหมือนกับร้านไอศกรีมลอยน้ำ พร้อมกับตู้แช่เย็นขนาดยักษ์ที่พร้อมเดินทางไปทุกที่ในมหาสมุทรแปซิฟิก เรือลำนี้สามารถผลิตไอศกรีมได้ 10 แกลลอนในทุกๆ 7 วินาที ซึ่งต่อมาก็พิศูจน์ได้ว่าเรือบรรทุกไอศกรีมนี้ประสบความสำเร็จในการรับใช้เหล่าหทารเรือ

แมวได้รับเหรียญจากการจับหนูคอมมิวนิสต์

201600
ที่มาภาพ military-history
และอีกครั้งกับกองทัพเรือที่นอกจากจะรักสุนัขแล้วยังรักแมวอีกด้วย ขอแนะนำให้รู้จัก Simon แมวที่อาศัยอยู่บนเรือ HMS Amethys เรือของกองทัพนาวิกโยธินแห่งประเทศอังกฤษ
หลังจากช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 Simon ก็ได้รับเลี้ยงดูโดยกัปตันเรือ แต่เรื่องของเราจริงๆ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1949 เมื่อเรือกำลังเดินทางไปยังแม่น้ำแยงซีเกียง และเกิดติดอยู่กลางสงครามในประเทศจีน พรรคคอมมิวนิสต์จีนฆ่าลูกเรือ 22 คน รวมถึงกัปตัน  ส่วนพวกที่เหลือถูกล้อมไว้แล้วจับเป็นตัวประกัน
นอกจากนั้น เรือ Amethyst ได้กลายเป็นแหล่งเพาะหนูเมื่อมันติดอยู่ที่ท่าเรือไปไหนไม่ได้ หนูพวกนี้เข้ายึดครองเรือและกัดกินเสบียงอาหารที่เหลืออยู่ ซึ่งนี่กลายเป็นปัญหาใหญ่เพราะทหารที่เจ็บและเหนื่อยล้าที่เหลือไม่สามารถขอให้จีนปล่อยตัวพวกเขากลับไปยังประเทศอังกฤษโดยเร็วได้
image_71
ที่มาภาพ militaryimages
นี้คือตอนที่ Simon เข้ามามีบทบาท ทั้งๆ ที่มันได้รับบาดเจ็บหนักจากสะเก็ดระเบิด มันก็เริ่มภารกิจจับหนูที่อยู่บนเรือทีละตัวๆ ในขณะที่กัปตันเรือคนใหม่กำลังป่วย นี่เป็นการช่วยลูกเรือจากการขาดเแคลนเสบียง นอกจากนั้น ยังเป็นทำให้กัปตับคนใหม่ซาบซึ้งใจอีกด้วย เขาได้เขียนเอาไว้ว่า Simon ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีและเป็นขวัญกำลังใจอย่างมาก และด้วยการเสนอของกัปตัน Simon ก็ได้รับเหรียญตรา Dickin Medal ซึ่งเป็นเหรียญเกียรติยศสำหรับสัตว์ และกลายเป็นแมวดังไปทันที

ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีเยอรมัน

“ค่ายกักกัน” (Concentration Camp) คือสถานที่ที่รัฐใช้กักขังนักโทษ หรือกักกันบุคคลเฉพาะกลุ่ม ด้วยเหตุผลทางการเมือง เช่น นักโทษการเมือง บุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐบาลหรือพลเมืองเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง นักโทษเหล่านี้จะถูกจับโดยไม่มีการสอบสวนตามกระบวนการยุติธรรม และไม่มีกำหนดเวลาการปล่อยตัว ทั้งยังถูกตัดสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษยชาติด้วย
ค่ายกักกันเริ่มมี ครั้งแรกเมื่อสงครามบัวร์ (ค.ศ.1899-1902) ในแอฟริกาใต้ ตามแนวคิดของ “ลอร์ดฮอเรวีโอ คิชเนอร์” แม่ทัพอังกฤษที่สั่งให้ควบคุมผู้หญิงและเด็กชาวบัวร์ไว้ในค่ายเพื่อไม่ให้คน เหล่านี้มีโอกาสช่วยเหลือชายชาญทหารบัวร์ที่กำลังทำสงครามกับอังกฤษ ถึง ค.ศ.1930 ค่ายกักกันถูกก่อสร้างใช้งานอีกครั้งตามคำสั่ง “อดอล์ฟ ฮิตเลอร์” ผู้นำพรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน หรือพรรคนาซี มีทั้งหมดประมาณ 50 แห่ง
สภาพโดยทั่วไปประกอบด้วยโรงทหาร กระท่อมหรือกระโจมที่พักผู้ต้องกัก บริเวณรอบค่ายจะมีป้อมยามรั้วลวดหนามล้อมรอบ ไฮน์ริช ฮิมม์เลอร์ ผู้บัญชาการหน่วยเอสเอสทำหน้าที่ควบคุม เขาใช้ค่ายกักกันที่เมืองดาเชาเป็นศูนย์บัญชาการ ค่ายกักกันของฮิมม์เลอร์ต้องการคน 2 ประเภท 1.บุคคลที่เป็นศัตรูทางการเมืองของพรรคนาซี ซึ่งมักใช้เป็นข้ออ้างในการกำจัดศัตรูทางการเมือง หรือสมาชิกทรยศ รวมไปถึงชาวยิว 2.บุคคลที่ไร้คุณค่าตามหมายหมายของพรรคนาซี หมายถืงพวกยิปซี โสเภณี พวกรักร่วมเพศ และพวกที่เคยโดนคดีถูกลงโทษแล้วยังกระทำผิดถูกดำเนินคดีอีก
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ค.ศ.1939-1945 พรรคนาซีสร้างค่ายกักกันขึ้นมากมาย กวาดต้อนชาวโปแลนด์ ยูเครน รัสเซีย และยิวมาคุมขังและใช้แรงงานสร้างโรงงานอุตสาหกรรมและโรงงานผลิตอาวุธป้อนหน่วยเอสเอสและเป็นสุสานทำลายล้างเผ่าพันธุ์ยิว (นาซีเรียกว่าการแก้ปัญหาชาวยิวครั้งสุดท้าย)
ค่ายกักกันที่ต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไม่รู้ลืมคือค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ ยิวถูกกวาดต้อนเข้าห้องรมแก๊สสังหารหมู่ เช่นเดียวกับที่เบลเซก โซบิบอร์ ไมดาเนก เตรบลินกา ซึ่งค่ายกักกันเหล่านี้อยู่ในประเทศโปแลนด์ เอาช์วิตซ์ยังเป็นศูนย์ทดลองทางการแพทย์ที่สำคัญของนาซี นักโทษถูกใช้เป็นสัตว์ทดลองทั้งทางแพทย์วิทยาศาสตร์ เช่น ทดลองใช้ความกดดันอากาศอัดเข้าไปในปอดของนักโทษจนปอดระเบิด
ประมาณกันว่าในค่ายกักกันเอาช์วิตซ์ ห้องรมแก๊สสามารถบรรจุได้คราวละ 2,000 คน และมีชาวยิวเสียชีวิตที่นี่ประมาณ 3 ล้านคน ในจำนวนนี้ถูกรมแก๊ส 2.5 ล้านคน ที่เหลือเสียชีวิตด้วยความอดอยาก โรคภัย และถูกยิงทิ้งคาปากหลุมที่ตัวเองได้รับคำสั่งให้ขุด


1. นักโทษเชลยศึกสาวชาวรัสเซียวัย 18 ปีกำลังมองกล้อง ในขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าช่วยเหลือค่ายDachau ระหว่างปี 1933-1945 ค่ายนี้มีนักโทษกักกันกว่าสองแสนคน เสียชีวิตไป 31591 ราย ส่วนมากเสียชีวิตจากโรดระบาด ขาดอาหารและฆ่าตัวตาย
2. ทหารเยอรมันกำลังจ่อยิงสังหารชาวยูเครนที่เป็นยิว ระหว่างการสังหารหมู่ที่ยูเครน ภาพนี้มีชื่อว่า "The last Jew in Vinnitsa"
3. ทหารเยอรมันกำลังสอบถามชาวยิว หลังจากการประท้วงที่วอร์ซอว์ในปี 1943 / ในเดือนคุลาคม ปี 1940 เยอรมันได้เริ่มจำกัดเขตกักกันให้ชาวยิวกว่า 3 ล้านคนอยู่อย่างแออัด ชาวยิวเสียชีวิตจากการขาดอาหารและโรคร้ายต่างๆ เขตกักกันเริ่มก่อนหน้าที่จะทยอยส่งชาวยิวบางส่วนไปยังค่ายกักกันมรณะต่อไป
4. ภาพชายกำลังลำเลียงร่างชาวยิวที่เสียชีวิตจากเขตกักกันในวอร์ซอว์ ปี1943 ชาวยิวเสียชีวิตเนื่องจากอดอาหารตายอยู่ข้างถนน ทุกๆเช้าเวลาตี4-ตี5 จะมีคนมาเก็บร่างผู้เสียชีวิตตามถนนใส่รถเข็นไปเผาวันละ 10 กว่าราย
5. กลุ่มชาวยิวที่มีเด็กรวมอยู่ด้วย ถูกต้อนออกจากเขตกักกันวอร์ซอว์โดยทหารเยอรมัน ภาพนี้ใช้เป็นหลักฐานในการพิพากษาคดีอาชญากรสงครามที่นูเรมเบอร์กในปี 1945
6. หลังจากการประท้วงของชาวยิว เขตกักกันวอร์ซอว์ได้พังทลายลง ชาวยิวกว่า 56,000 คนถูกจับ ถูกยิงเสียชีวิต 7,000 ราย และที่เหลือได้ถูกส่งไปยังค่ายกักกันมรณะ
7. ทหารเยอรมันทำการสังหารหมู่สตรีชาวยิว ที่ยูเครน ตุลาคม 1942 / ชาวยิวกว่า 700 คนในเขตกักกัน Mizocz ได้ทำการต่อสู้กับตำรวจชาวเยอรมัน เกินครึ่งสามารถหนีการกวาดต้อนไปได้ ส่วนที่ถูกจับได้ถูกนำไปที่เนินเขาและยิงให้ตาย
8. ชาวยิวถูกส่งไปยังค่ายย่อยชั่วคราว Drancy ในฝรั่งเศส ปี 1942 / ค่ายที่พักชั่วคราวก่อนจะเข้าสู่ค่ายมรณะ ชาวยิว 13,152 คน เป็นเด็ก 4,115 คน โดนกวาดต้อนให้ออกจากบ้านของตนและกวดจับโดยตำรวจฝรั่งเศส โดยให้ไปรวมกันอยู่ที่สนามแข่งจักรยาน Vel d'Hiv และถูกส่งขึ้นรถไฟไปค่ายมรณะในเวลาต่อมา..มีผู้รอดชีวิตเพียงแค่หยิบมือที่มีโอกาสได้กลับมา
9. ภาพถ่าย แอน แฟรงค์ 1941 / แอนและครอบครัวของเธอหลบซ่อนจากการกวาดต้อนของเยอรมัน สุดท้ายเธอและครอบครัวก็ถูกจับและส่งไปยังค่ายกักกันมรณะ แอนเสียชีวิตด้วยไข้รากสาดใหญ่ในค่ายกักกันเชลยศึกนาซี เบอร์เกน-เบลเซน เธอมีอายุเพียง 15 ปี สมุดบันทึกไดอารี่ของเธอได้ส่งผลทำให้เธอกลายเป็นสัญญลักษณ์ของชาวยิวที่โดนสังหารในสงครามโลกครั้งที่ 2
10. การคัดกรองนักโทษชาวยิวที่ถูกส่งมาใหม่ จากฮังการีและเชกโกสโลวาเกีย ที่ค่ายกักกันมรณะเอาชวิตซ์ Auschwitz-Birkenau โปแลนด์ 1944
11. รูปถ่ายทำเนียบนักโทษในค่ายกักกันมรณะ เอาชวิตซ์ / เซสลาวา คโวกา เด็กหญิงอายุ14 ปี / ค่ายมรณะนาซี สังหารชาวยิวไปกว่าหนึ่งล้านห้าแสนคนในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 เชสลาวาเป็นคาธอลิกชาวโปแลนด์ เธอและแม่ถูกส่งไปยังค่ายมรณะเอาซวิตซ์ในเดือนธันวาคม 1942 ทั้งสองคนเสียชีวิตลงภายใน 3 เดือน ในสารคดีสงครามปี2005 กล่าวถึงช่างภาพที่ถ่ายรูปเธอกล่าวไว้ว่า "เธอยังเด็กมากและตื่นตระหนก เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่ค่ายมรณะ เธอไม่เข้าใจที่ผู้คุมหญิงชาวเยอรมันพูดกับเธอ ผู้คุมเอาไม้ฟาดลงที่หน้าของเธอ เธอร้องไห้...ก่อนที่จะถ่ายรูปหน้าเธอเต็มไปด้วยคราบน้ำตาและคราบเลือดจากปากที่แตก พูดความจริงนะ..ฉันรู้สึกเหมือนโดนตีไปด้วย แต่ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย เพราะไม่อย่างนั้น..ฉันก็ต้องทิ้งชีวิตฉันเอง"
12. ภาพถ่ายเหยื่อทดลองทางการแพทย์ของนาซี แผลที่เกิดจากการเผาไหม้ลึกลงไปในผิวที่เกิดจากฟอสฟอรัส หมอที่ทำการทดลองจะผสมฟอสฟอรัสกับยางทาลงบนผิวหนังแล้วจุดไฟ หลังจากลุกไหม้เป็นเวลา 20 วินาทีจึงทำการดับไฟด้วยน้ำ หลังจากนั้น 3 วัน จะทำการรักษาโดยให้ยาEchinacinเหลว ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย สองอาทิตย์ถัดมาแผลจะเริ่มหาย ภาพนี้ถ่ายโดยหมอในค่ายกักกัน และภาพนี้ถูกใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีของหมอ อาชญากรสงครามในนูเรมเบอร์ก
13. ภาพถ่ายนักโทษชายชาวยิว ในค่ายกักกันเชลยศึกนาซีที่แคมป์ Buchenwald / ถ่ายเมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรเข้าไปช่วยเหลือปลดปล่อยอิสระจากนาซีเยอรมัน
14. ทหารอเมริกันเข้าไปตรวจสอบตู้รถไฟที่เต็มไปด้วยศพผู้เสียชีวิตชาวยิวยัดไว้ในตู้รถไฟ ใกล้กับค่ายกักกันของนาซีที่แคมป์ Dachau ปี 1945
15. ชายชาวยิวจากฝรั่งเศสอดโซเนื่องจากขาดอาหาร นั่งอยู่ท่ามกลางร่างผู้เสียชีวิตที่ค่ายกักกันย่อย Mittelbau-Dora ซึ่งเป็นค่ายกักกันใช้แรงงาน ในเยอรมัน ปี 1945
16. ร่างของชาวยิวที่เสียชีวิตกองทับถมกัน ติดกับผนังห้องเผาศพที่ค่ายกักกัน Dachau ศพทั้งหมดถูกพบโดยทหารอเมริกัน หน่วยทหารราบที่7 ที่เข้ายึดค่ายจากนาซีได้เมื่อ 14 พ.ค 1945
17. ทหารอเมริกันกำลังตรวจสอบแหวนทองคำจำนวนหลายพันวง ซึ่งทหารนาซีเยอรมันยึดมาจากชาวยิวและเก็บซ่อนไว้ที่เหมืองเกลือ Heibronn ในเยอรมัน 1945
18. ทหารอเมริกัน 3 นาย มองไปยังศพชาวยิวที่ถูกยัดเข้าไปในเตาเผา ที่อาคารเผาศพในค่ายกักกัน / ภาพนี้ถ่ายจากค่ายกักกันไม่ปรากฏชื่อในเยอรมัน หลังจากการเข้าช่วยเหลือปลดปล่อยอิสระโดยทหารอเมริกัน
19. กองเถ้ากระดูกกองพะเนินที่เห็นนี้จากการเผาศพเชลยศึกชาวยิวที่โดนสังหารภายใน 1 วัน โดยมือสังหารคือทหารเยอรมันจำนวน 88 นาย จากค่ายกักกัน Buchenwald เยอรมัน 1945
20. นักโทษเชลยศึกชาวยิวยืนอยู่หลังรั้วไฟฟ้า กำลังโห่ร้องเชียร์ทหารอเมริกันที่เข้ามาช่วยเหลือปลดปล่อยให้เป็นอิสระ นักโทษช่วยกันประดับธงหลายเชื้อชาติที่แอบทำขึ้นมา หลังจากที่ได้ยินเสียงปืนจากหน่วย 42nd Rainbow ที่มาช่วยเหลือ เพราะได้ยินเสียงปืนดังใกล้ค่ายกักกันเข้ามาทุกทีๆ
21. นายพล ดไวต์ ดี.ไอเซนฮาวร์และคณะทหาร เดินตรวจสอบค่ายกักกันเชลยศึกของนาซี Ohrdruf หลังจากที่ทำการยึดค่ายปลดปล่อยอิสระ เดือนเมษายน 1945 / เมื่อทหารอเมริกันเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ค่ายกักกัน การ์ดเยอรมันที่ดูแลนักโทษทำการสังหารนักโทษที่มีอยู่ในค่าย
22. นักโทษชาวยิวที่กำลังจะตาย ไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นนั่ง นี่คือเหยื่อของความโหดร้ายทารุณที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีที่ค่าย Nordhausen เยอรมัน 1945


23. นักโทษเชลยศึกกำลังเดินเท้าแข่งกับความตาย...นักโทษเหล่านี้โดนย้ายลงไปทางใต้โดยการเดินเท้า เนื่องจากฝ่ายสัมพันธมิตรเคลื่อนพลเข้ามาใกล้ค่ายกักกันมากขึ้นทุกขณะ นักโทษนับพันเสียชีวิตระหว่างการเดินทาง ใครที่หมดแรงระหว่างเดินทางจะโดนยิงทิ้งทันที
24. ทหารอเมริกันเดินผ่านแถวร่างผู้เสียชีวิตศพแล้วศพเล่า ที่วางเรียงรายบนพื้นค่ายกักกัน ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซี Nordhausen เยอรมัน 1945 / ทหารอเมริกันเข้ายึดค่าย ปลดปล่อยอิสระได้เมื่อ 12 เม.ย พบศพผู้เสียชีวิตกว่า 3000 ราย และผู้รอดชีวิตเพียงไม่กี่คน
25. นักโทษเชลยศึกชายเสียชีวิตอยู่บนตู้รถไฟ
26. ภาพทหารสัมพันธมิตรที่เข้าปลดปล่อยอิสระค่ายกักกันจากนาซีเยอรมัน / หน่วยทหารราบที่ 3 ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลแพ็ตตัน ที่ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซี Buchenwald 1945
27. กองพลทหารปืนใหญ่ที่12 ภายใต้การบังคับบัญชาของนายพลแพ็ตตัน ได้เคลื่อนพลเข้าสู่ชายแดนออสเตรียได้พบกับภาพอันสยดสยองที่ค่ายกักกันเชลยศึกนาซีที่ Schwabmunchen ทางตะวันตกเฉียงใต้ของมิวนิค นักโทษใช้แรงงานกว่า 4000 คน เป็นชาวยิวที่มีเชื้อชาติแตกต่างกันออกไป โดนขังไว้ในอาคารและโดนเผาทั้งเป็นขณะที่กำลังนอนหลับ เชลยศึกที่พยายามหนีออกมาจากไฟที่กำลังไหม้จะโดนยิงทันที ภาพที่เห็นคือร่างที่ไหม้เกรียมของเชลยศึกชาวยิวที่ใช้แรงงานในค่ายซึ่งถูกพบโดยทหารอเมริกัน หน่วยทหารราบที่ 7 ปี1945
28. ร่างเชลยศึกที่เสียชีวิตพาดอยู่บนรั้วลวดหนาม ที่ค่ายกักกัน Buchenwald เยอรมัน
29. ร่างเชลยศึกเหยื่อที่โดนสังหารโดยเยอรมัน ถูกเคลื่อนย้ายออกจากค่ายกักกันเชลยศึกแคมป์ Lambachในออสเตรีย โดยทหารอเมริกันออกคำสั่งให้ทหารเยอรมันทำการฝังร่างผู้เสียชีวิตทั้งหมด ค่ายกักกันเชลยศึกแห่งนี้มีนักโทษชาวยิวถูกขังจำนวน 18,000 คน แต่ละอาคารจุนักโทษได้ 1,600 คน ไม่มีเตียงหรือส้วมให้แต่อย่างใด มีผู้เสียชีวิตรายวัน 40-50 รายที่ค่ายนี้
30. ชายหนุ่มชาวยิวนั่งหมดอาลัยตายหยาก อยู่ใกล้ๆกับร่างนักโทษเชลยศึกที่โดนไฟไหม้ หลังจากที่ทหารอเมริกันเคลื่อนพลเข้าใกล้ค่ายกักัน Thekla, นักโทษชาวยิวที่อยู่ในโรงงานผลิตเตรื่องบินเครื่องบินถูกต้อนให้เข้าไปอยู่ในอาคาร เยอรมันวางเพลิงอาคารเผานักโทษทั้งเป็นกว่า 300 คน สำหรับนักโทษที่พยายามหนีแต่หนีไม่สำเร็จ เสียชีวิตบนลวดหนามและโดนสังหารโดยทหารยุวชนนาซี ตามรายงานของทหารอเมริกัน
31. ร่างนักโทษเชลยศึกทางการเมืองที่พยายามหนีออกมาจากอาคารที่โดนไฟไหม้ จากการวางเพลิงของทหารเยอรมัน นักโทษที่คิดหลบหนีจะถูกยิงเสียชีวิตทันที จากนักโทษทั้งหมด 1,100 คน มีเพียง 12 คนที่หนีรอดออกมาได้
32. ร่างกายที่เหลือแต่โครงกระดูกนับร้อยๆรายจากค่ายกักกันเชลยศึกใช้แรงงาน นักโทษเชลยศึกชาวยิวหลายเชื้อชาตินอนเรียงราย บ้างก็ตายแล้ว บ้างก็กำลังจะตาย ถูกพบโดยทหารอเมริกันหน่วยกองพลทหารปืนใหญ่ 3 ที่ค่ายกักกันเชลยศึกนาซี Nordhausen 1945
33. ทหารอเมริกันเข้าทำการปลดปล่อยอิสระแก่ค่าย Dachauเยอรมัน 1945 / ทหารการ์ดเยอรมันในค่ายกักกันเชลยศึกโดนนักโทษรุมสังหารและโยนศพทหารลงไปในคูน้ำรอบๆค่าย
34. พันโท เอ็ด ซีลเลอร์ จากหลุยสวิลล์ เคนตั๊กกี้ ยืนกล่าวท่ามกลางเหยื่อที่เสียชีวิตจากฮอโลคอสต์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขากล่าวกับชาวเยอรมัน 200 คนที่โดนบังคับให้มาดูภาพอันสยองจากฝีมือนาซีเยอรมันว่าเป็นอย่างไร
35. นักโทษเชลยศึกนาซี ผอมโซจากการขาดอาหาร ใกล้จะตายด้วยความหิวโหย ในค่ายกักกันทดลองทางวิทยาศาตร์ Ebensee ออสเตรีย 1945
36. เชลยศึกชายชาวรัสเซียเชื้อสายยิว หนึ่งในผู้รอดชีวิตกำลังชี้ตัวทหารเยอรมันที่ลงโทษนักโทษเชลยศึกอย่างโหดเหี้ยมทารุณให้ทหารอเมริกันทราบ หลังจากที่อเมริกันเข้าปลดปล่อยอิสระค่ายกักกัน Buchenwald ได้สำเร็จ 1945
37. ร่างเชลยศึกที่เสียชีวิตกองพะเนินเทินทึก ที่ค่ายกักกันนาซี Bergen-Belsen ถูกพบหลังจากที่กองกำลังจากอังกฤษเข้าปลดปล่อยอิสระ / กองกำลังอังกฤษพบนักโทษเชลยศึก 60,000 คน ทั้งชาย หญิงและเด็กๆ กำลังจะตายด้วยความหิวโหยและจากโรคระบาด
38. ทหารการ์ดเยอรมันกำลังขนย้ายร่างเชลยศึกที่เสียชีวิต ในค่ายกักกันนาซีแคมป์ Bergen-Belsen ขึ้นรถเพื่อไปทำการฝัง โดยมีทหารอังกฤษถือปืนไรเฟิลออกคำสั่งอยู่ด้านหลัง 1945
39. พลเมือง Ludwigslust เยอรมัน ถูกออกคำสั่งโดยทหารอเมริกัน หน่วยททารส่งทางอากาศที่ 82 ให้ไปดูความโหดร้ายที่ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซี / ร่างของผู้เสียชีวิตที่โดนโยนทิ้งลงหลุม แต่ละหลุมมีร่างผู้เสียชีวิต 300 ราย
40. ร่างเชลยศึกชาวยิวที่เสียชีวิตถูกกองทิ้งไว้ให้เน่าเปื่อย ที่ค่ายกักกัน Bergen-Belsen กองทัพอังกฤษพบผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ตายด้วยโรคระบาดไทฟอยด์ ,ไข้รากสาดใหญ่และอหิวาตกโรค ค่ายนี้คุมขังนักโทษกว่า 60,000 คน ที่ค่ายนี้มีผู้เสียชีวิตลงวันละหลายร้อยคน
41. ชายที่ถูกล่ามโซ่ในภาพที่เห็นคือโจเซฟ เครเมอร์ ผู้บัญชาการค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีที่ค่าย Bergen-Belsen ถ่ายเมื่อ 28 เม.ย 1945 หลังจากการพิจารณาคดีอาชญากรสงคราม เครเมอร์ได้รับฉายาว่า"The Beast of Belsen"(อสูรแห่งเบลเซน) เค้าถูกตัดสินตามข้อกล่าวหาและถูกลงโทษประหารชีวิตในเดือนธันวาคม 1945
42. การ์ดหญิงชาวเยอรมันซึ่งเป็นผู้คุมนักโทษเชลยศึก กำลังขนย้ายศพเหยื่อที่เสียชีวิตลงจากรถบรรทุกที่ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซี Belsen เชลยศึกชาวยิวเสียชีวิตจากการขาดอาหารและโรคร้ายที่คุกคามจนตายไปในที่สุด ที่ค่ายนี้มีนักโทษหลายพันคน. / ทหารอังกฤษยืนบนเนินดินเหนือหลุมฝังศพหมู่ ถือปืนไรเฟิลควบคุมและออกคำสั่งให้การ์ดเยอรมันทำตามคำสั่ง
43. การ์ดเยอรมันผู้คุมนักโทษเชลยศึกอยู่ท่ามกลางของร่างผู้เสียชีวืตที่กองพะเนิน ในค่ายกักกัน Belsen 1945 / การ์ดกำลังช่วยกันขนย้ายศพลงหลุมฝังศพหมู่ ตามคำสั่งของทหารอังกฤษที่เข้าปลดปล่อยอิสระค่ายกักกัน
44. ประมาณการว่ามีเชลยศึกเสียชีวิตที่ค่ายกักกันเชลยศึกของนาซีที่ Belsen จำนวน 100,000 ราย../ ร่างผู้เสียชีวิตกองพะเนินเทินทึกให้เห็นในค่ายกักกัน
45. มารดาชาวเยอรมันกำลังเอามือปิดตาลูกชายเพื่อป้องกันไม่ให้เห็นภาพผู้เสียชีวิตเรียงรายอยู่ตามพื้นดิน ร่างผู้เสียชีวิตคือเชลยศึกชาวรัสเซีย 57 คนที่ถูกทหารเยอรมันสังหารและทิ้งลงไปในหลุมฝังศพหมู่ก่อนหน้าที่ทหารอเมริกันหน่วยทหารราบที่9 จะะเข้าปลดปล่อยอิสระค่ายได้ / ก่อนที่จะฝังศพเชลยศึกที่เสียชีวิต พลเมืองชาวเยอรมันจะโดนบังคับให้ดูร่างผู้เสียชีวิตจากฝีมือความโหดร้ายทารุณของเยอรมัน!